วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2562

ข่าวที่ 7 ยีนนอนน้อย

ยีนนอนน้อย คำอธิบายของคนที่นอนไม่กี่ชั่วโมง แต่สดใสเหมือนนอนเต็มที่

“ยีนนอนน้อย” คำอธิบายของคนที่นอนไม่กี่ชั่วโมง แต่สดใสเหมือนนอนเต็มที่

     เราเป็นคนหนึ่งที่ใส่ใจเรื่องการนอนมากๆ หากคืนไหนนอนน้อย เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้าจะรู้เลยว่าวันนี้ต้องรีบกลับมานอนต่อที่บ้านให้ได้ และตอนบ่าย ก็จะง่วงหงาวหาวนอนมากเป็นพิเศษจนต้องพึ่งสารพัดคาเฟอีน เชื่อว่าหลายๆ คนก็น่าจะคล้ายๆ เรา แต่ก็ยังมีมนุษย์อีกกลุ่มหนึ่ง ที่นอนแค่วันละไม่กี่ชั่วโมง แต่กลับสดใสมีพลังงานมากมายเหมือนได้นอนอย่างเต็มอิ่ม ไม่แน่ว่ามนุษย์กลุ่มนี้อาจจะมี “ยีนนอนน้อย” อยู่ในร่างกายก็ได้
     ตามทฤษฎีแล้ว มูลนิธิการนอนหลับแห่งชาติ ในสหรัฐอเมริกา ระบุระยะเวลาในการนอนหลับที่เหมาะสม โดยแบ่งตามอายุคร่าวๆ ว่า วัยรุ่น วัยทำงาน ควรนอนวันละ 7-9 ชั่วโมง ในขณะที่วัยประถม-มัธยม ควรนอนวันละ 8-11 ชั่วโมง แต่ในทางปฏิบัติแล้ว เราอาจพบว่าบางคนนอนตามเวลาที่กำหนด แต่ก็ยังรู้สึกอ่อนเพลียง่วงนอน ในขณะที่บางคนนอนแค่ 4 ชั่วโมง แต่ก็สดชื่นแจ่มใสมีพลังงานมากพอ
     ยีนนอนน้อยที่ว่า เป็นการกลายพันธุ์ของยีนที่เรียกว่า DEC2 ซึ่งทำให้ร่างกายของคนเหล่านั้นต้องการเวลาในการนอนพักผ่อนน้อยกว่าคนอื่น มีพลังงานเหลือเฟือมากพอที่จะทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่อย่างสดชื่นแจ่มใส สมองตื่นตัวตามปกติ ไม่รู้สึกเพลียหรือง่วงเหมือนคนทั่วไป
     คนทั่วไปที่ว่า หากลองได้นอนหลับในแต่ละวันต่ำกว่า 6 ชั่วโมงไปเรื่อยๆ ทุกวัน ร่างกายจะเริ่มส่งสัญญาณฟ้องว่าเริ่มไม่ไหว และอาจจะเริ่มมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายในสักวัน พูดง่ายๆ ก็คือระบบในการทำงานของร่างกายเริ่มรวนนั่นเอง
     ทั้งนี้ ยีน DEC2 ส่งผลให้คนเหล่านั้นสามารถใช้เวลาในการนอนหลับสั้นลงกว่าคนปกติได้ เพราะการนอนของเขาแม้ว่าจะใช้เวลาสั้น แต่เป็นการนอนอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าคนทั่วไป กล่าวคือ นอนหลับสนิท พักผ่อนอย่างเต็มที่จริงๆ
     แต่ถึงกระนั้น การกลายพันธุ์ของยีนพิเศษที่ว่านี้เป็นไปได้ยากมาก อาจเกิดขึ้นได้แค่เพียง 1% เท่านั้น ดังนั้นหากใครที่คิดว่าเราเป็นแค่คนธรรมดาเดินดินทั่วไป ก็แนะนำว่าให้นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอราวๆ 7-9 ชั่วโมงต่อวันเหมือนเดิมจะดีที่สุด
แหล่งที่มา : https://www.sanook.com/health/10349/

ข่าวที่ 6 หุ่นยนต์สร้างยา

ใช้หุ่นยนต์ในการช่วยสร้างยาปฎิชีวนะใหม่


     ธรรมชาติถือเป็นขุมทรัพย์ใหญ่ของสารประกอบทางเคมี ที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บหลากหลายชนิด ทว่าสารเคมีที่น่าสนใจที่สุดมักมาจากสิ่งมีชีวิต ทว่านำมาใช้งานได้ยากในห้องปฏิบัติการทดลอง โดยเฉพาะสารประกอบเคมีประเภทพอลิคีไทด์ (polyketides) คือกลุ่มสารเคมีที่สำคัญซึ่งส่วนใหญ่ผลิตโดยแบคทีเรียในดินและจุลินทรีย์อื่นๆ
     เมื่อเร็วๆ นี้ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ในอังกฤษ เผยความสำเร็จในการสร้างแบคทีเรียลำไส้ที่พบบ่อยเพื่อผลิตยาปฏิชีวนะชนิดใหม่ด้วยการใช้หุ่นยนต์เข้าช่วย ยาปฏิชีวนะดังกล่าวรู้จักกันในชื่อพอลิคีไทด์ คลาสทู (polyketides Class II) เกิดจากแบคทีเรียในดินตามธรรมชาติและมีคุณสมบัติในการต้านเชื้อแบคทีเรีย อันมีความสำคัญในอุตสาหกรรมยาสมัยใหม่ที่เชื่อว่าจะนำไปใช้ต่อสู้กับโรคติดเชื้อและโรคมะเร็งได้
     การวิจัยนี้ชี้ให้เห็นศักยภาพของวิธีการรวมเครื่องจักรกลการผลิตแบคทีเรียเข้ากับเอนไซม์จากพืชและเชื้อรา จนเกิดความเป็นไปได้ที่จะสร้างสารประกอบทางเคมีใหม่ๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในธรรมชาติ และไม่เพียงช่วยให้นักวิจัยทดลองสารพอลิคีไทด์ใหม่ได้แบบอัตโนมัติ แต่ยังจะสามารถเขียนลำดับดีเอ็นเอของเส้นทางการสังเคราะห์ยาปฏิชีวนะได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยเผยว่าน่าจะใช้เวลาราว 1 ปีในการสร้างและทดสอบยาปฏิชีวนะที่อาจเกิดขึ้นได้ถึงสิบชนิด
แหล่งที่มา : https://www.thairath.co.th/news/foreign/1622918

ข่าวที่ 5 วิธีกำจัดวัชพีช อย่างปลอดภัย

5 วิธีกำจัดวัชพีชได้อย่างปลอกภัย

5 วิธีกำจัดวัชพืชด้วยวิธีธรรมชาติ ปลอดภัย ไร้สารเคมี

     จากข่าวคนไข้สะพายถังยาฆ่าหญ้ารั่วรดหลัง-ก้น จนเป็นแผล ปวดแสบทรมาน สุดท้ายเสียชีวิต ทำให้เราได้เห็นถึงอันตรายของสารพิษจากยาฆ่าหญ้า ซึ่งเราอยากแนะนำให้ลองใช้วิธีธรรมชาติกำจัดหญ้าภายในบ้าน หรือสวนของเราแทนการใช้สารเคมีจะดีกว่า เพื่อเลี่ยงการได้รับอันตรายถึงชีวิต
     1. กำจัดหญ้าด้วยการใช้มือถอน
หากเราพบหญ้าที่เป็นศัตรูของต้นไม้ที่บ้านหรือสวนของเรา วิธีง่ายๆ คือการถอนออก อาจจะต้องทำให้พื้นดินนั้นนิ่มลงก่อนด้วยการรดน้ำ แล้วจึงถอนออก
     2. สเปรย์ด้วยแอปเปิลไซเดอร์
นำแอปเปิลไซเดอร์ใส่ขวดสเปรย์พ่นรอบแปลงต้นไม้ หรือฉีดลงบนัชพีชโดยตรง หรือถ้าต้องการปลูกต้นไม้อะไรอาจนำแอปเปิลไซเดอร์ผสมกับดินแล้วโปรยเมล็ดปลูกลงไป แอปเปิลไซเดอร์จะเคลือบที่รากเพื่อไม่ให้วัชพืชแย่งอาหาร
     3. น้ำเกลือ
ผสมเกลือกับน้ำเปล่าแล้วต้มจนเดือนก่อนจะนำไปราดลงบนหญ้าหรือวัชพืชโดยตรง เหมาะมากสำหรับกำจัดหญ้าที่ขึ้นจากรอยแยกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในบ้าน หรือในสวน
     4. เบกกิ้งโซดา
เบกกิ้งโซดานั้นมีประโยชน์มาก เราสามารถนำผงเบกกิ้งโซดาโรยไปบนวัชพืชได้แบบโดยตรง ไม่ว่าวัชพืชนั้นจะอยู่บริเวณส่วนใดของบ้านหรือสวน
     5. น้ำร้อน
หลังจากประกอบอาหารที่เป็นวิธีการต้ม น้ำที่จะเททิ้งไปเฉยๆ เราสามารถนำน้ำร้อนๆ นั้นมาเทลงบนหญ้า หรือวัชพืชได้ทันที และด้วยความร้อนนั้นจะสามารถกำจัดหญ้าและวัชพืชได้เป็นอย่างดี
แหล่งที่มา : https://www.sanook.com/home/22157/

ข่าวที่ 4 การทาลิปสติก ไม่ปล่อยภัยอย่างที่คุณคิด

ข้อควรรู้ก่อนทาลิปสติก อันตรายแฝงจากสารเคมีที่พร้อมส่งผลเสียต่อสุขภาพ

ข้อควรรู้ก่อนทาลิปสติก อันตรายแฝงจากสารเคมีที่พร้อมส่งผลเสียต่อสุขภาพ

     ลิปสติกที่จะขอกล่าวถึงสำหรับสาวๆ ในที่นี้คือลิปสติกที่ถูกเติมแต่งด้วยสีสันอันฉูดฉาด เน้นเติมเสน่ห์เรียวปากให้ดูดี ในปัจจุบันที่เครื่องสำอางชนิดนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เป็นหนึ่งในตัวช่วยเสริมความมั่นใจให้สาวๆ ได้รู้สึกถึงความโดดเด่นของใบหน้า ทว่าในความงามนี้กลับกลายเป็นดาบสองคม เพราะบางยี่ห้อปนเปื้อนอยู่ด้วยสารเคมีอันตรายที่เรามองไม่เห็น แถมสารเคมีที่สัมผัสโดนริมฝีปากอันบอบบาง หรือบางครั้งเผลอกลืนเข้าไปสะสมในร่างกายแบบไม่รู้ตัว อาจส่งผลเสียต่อสุุขภาพในระยะยาวตามมาได้
     ในยุคนี้เราจะเห็นว่ามีลิปสติกสีสันสดใสผลิตออกมามากขึ้น ยิ่งสีสดแค่ไหน ก็ยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้นเท่านั้น แถมบางยี่ห้อยังเคลมอีกด้วยว่าเป็นลิปสติกที่สามารถติดทนอยู่กับริมฝีปากได้นานตลอดวันไม่มีหลุดในการทาเพียงแค่ครั้งเดียว หารู้ไม่ว่ามันเต็มไปด้วยสารเคมีที่ไม่ควรสัมผัสถูกผิวหนัง ไม่ว่าจะเป็น สารกันบูดที่มักผสมอยู่ในเครื่องสำอางทั่วๆ ไป เช่น พาราเบน เมธอะคริเลท สารตะกั่วปนเปื้อน และไตรโครซาน ฯลฯ
     สารเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบฮอร์โมน เข้าไปรบกวนการทำงานของสมอง กล้ามเนื้อ และอัตราการเต้นของหัวใจ นอกจากนี้จากผลการวิจัยยังแสดงให้เห็นถึงความน่าวิตกว่าสารเคมีมากมายจากลิปสติกที่เข้าไปสะสมในร่างกาย จะเป็นตัวการทำให้เชื้อโรคดื้อยาปฏิชีวนะตามมา ส่งผลให้การรักษาอาการยุ่งยากและรุนแรงมากขึ้น
     เมธอะคริเลทเป็นสารเคมีที่ใช้ในอุตสาหกรรมพลาสติก แต่มันกลับถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมของลิปสติกที่มีสีฉูดฉาด ทำให้สีหลุดลอกได้ยาก สารชนิดนี้เมื่อร่างกายได้รับเข้าไปแล้ว จะส่งผลให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนัง ในระยะแรกจะแสดงอาการมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความถี่ในการทาของสาวๆ แต่ละคน ทั้งนี้อาการระคายเคืองที่เกิดขึ้นสามารถพัฒนากลายเป็นโรคภูมิแพ้ตัวเองที่เรารู้จักกันว่าโรค SLE ได้อีกด้วย เป็นตัวการส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายแปรปรวน ไวต่อสิ่งแปลกปลอมมากเกินปกติ เกิดภาวะอักเสบตามผิวหนัง หากไม่รีบทำการรักษาจะยิ่งลุกลามไปยังส่วนอื่นๆ ของอวัยวะได้
     ทางที่ดี ควรหลีกเลี่ยงการทาลิปสติกสีเข้ม และหันมาทาลิปมันที่ช่วยบำรุงริมฝีปากให้ชุ่มชื่นเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว เพื่อจะได้ลดความเสี่ยงจากสารเคมีอันตรายที่ปนเปื้อนมาพร้อมกับเม็ดสี หรืออาจจะเลือกเป็นลิปสติกสีอ่อนที่มีคุณภาพมาใช้ทดแทน เพียงเท่านี้ก็ทำให้เรียวปากของผู้หญิง ดูสวยอวบอิ่มได้ไม่แพ้กันอย่างแน่นอน
แหล่งที่มา : https://www.sanook.com/women/64835/

ข่าวที่ 3 สารเคมีในครีมบำรุงผิว

สารเคมีในผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ทำให้ผู้หญิงเสี่ยงเป็นมะเร็ง


     ผลการศึกษาในสหรัฐฯ ชี้ว่า สารเคมีในผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนสืบพันธุ์ผิดปกติ นำไปสู่การเกิดโรคมะเร็งเต้านมและภาวะมีบุตรยาก ซึ่งเป็นผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยจอร์จเมสันในสหรัฐฯ ระบุว่า สารเคมีในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวส่งผลเสียต่อฮอร์โมนของผู้หญิง รวมทั้งอาจนำไปสู่ภาวะมีบุตรยากและมะเร็งเต้านม

     โดยผลิตภัณฑ์ความงามมักจะมีส่วนผสมของสารเคมีต่างๆ เช่น พาราเบน ซึ่งเป็นสารกันเสียที่ใช้ต้านการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์และเบนโซฟีโนน
     จากการวิเคราะห์ตัวอย่างชี้ว่าผู้ที่มีสารเคมีเหล่านี้อยู่ในร่างกายจะมีการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ซึ่งเป็นฮอร์โมนสืบพันธุ์ที่ผิดปกติ จะทำให้ไข่ไม่เจริญเติบโตเต็มที่ ขณะเดียวกันฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่มากผิดปกติก็มีความเกี่ยวข้องกับมะเร็งเต้านม และภาวะเลือดออกทางช่องคลอดที่ผิดปกติ

แหล่งที่มา : https://news.mthai.com/world-news/673003.html

ข่าวที่ 2 สารเคมีที่ตกค้างในผลไม้

ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เตรียมแบนสารเคมีที่มีผลต่อสุขภาพ 3 ชนิด


     จากข่าวได้รายงานว่าการล้างก็เป็นวิธีหนึ่งที่อาจทำให้สารเคมีบางอย่างลดปริมาณลง แต่ขอยืนยันว่าไม่สามารถล้างจนปลอดจากสารเคมีได้ และไม่มีวิธีใดที่ทำให้สารเคมีไม่ปนเปื้อน และเมื่อมีการบริโภคก็อาจมีการสะสมในร่างกายจนทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้ โดยเฉพาะสารเคมี 3 ชนิด คือ พาราควอท ไดลโฟเสท และคลอไพรีฟอส รวมไปถึงสารพิษฆ่าแมลง
     อย่างไรก็ดีเพื่อความปลอดภัยประชาชนควรเลือกซื้อผักและผลไม้จากเกษตรอินทรีย์ หรือแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้ และเพื่อความปลอดภัยตั้งแต่ต้น หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงควรผลักดันในเรื่องห้ามใช้สารเคมีสารพิษในพืชผักผลไม้ เพื่อจะได้ไม่มีสารพิษปนเปื้อนอยู่ในผลผลิต
แหล่งที่มา : https://news.mthai.com/general-news/676252.html

ข่าวที่ 1 โรงงานสารเคมีระเบิด

เปิดภาพมุมสูง โรงงานจีนระเบิด

เปิดภาพมุมสูง โรงงานสารเคมีจีนระเบิด เสียหายแบบพังราบเป็นหน้ากลอง (มีคลิป)
     สำนักข่าวประเทศจีนรายงานว่า จากเหตุโศกนาฏกรรมโรงงานสารเคมีในเมืองเหยียนเฉิง มณฑลเจียงซู ประเทศจีน เกิดระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง เมื่อวันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา แรงระเบิดทำให้เกิดแรงสั่นไหวเทียบเท่ากับแผ่นดินไหวขนาด 2.2 ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่บริเวณตำแหน่งที่ตั้งของโรงงาน
     ความคืบหน้าล่าสุด เจ้าหน้าที่ดับเพลิงและกู้ภับกว่าพันชีวิตยังคงปฏิบัติหน้าที่อย่างต่อเนื่อง ติดต่อกันเป็นวันที่ 3 แล้ว เนื่องจากยังต้องระดมฉีดน้ำหล่อเลี้ยง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเพลิงลุกไหมขึ้นอีก โดยมีแนวโน้มว่าสถานการณ์จะเริ่มดีขึ้น ตามกลางความเหนื่อยล้าและอิดโรยของเจ้าหน้าที่หลายชุด
     ขณะที่ภาพถ่ายทางอากาศได้เปิดเผยภาพมุมสูงเหนือโรงงานสารเคมีที่เกิดเหตุ พบว่าแรงระเบิดสร้างความเสียหายไปทั่วบริเวณ โดยเฉพาะรอบๆ พื้นที่โรงงานนั้น อาคารต่างๆ หลายจุดได้พังถล่มและถูกไฟไหม้แทบไม่เหลือซาก ในลักษณะที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "พังราบเป็นหน้ากลอง"
     ส่วนทางด้านชาวบ้านและประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงกับโรงงานสารเคมีแห่งนี้ ล่าสุดก็เริ่มทยอยกลับเข้าบ้าน เพื่อมาสำเร็จความเสียหายและเก็บกวาดทำความสะอาด เนื่องจากผลพ่วงของแรงระเบิด ทำให้มีกระจกประตู-หน้าต่างแตกทะลุหลายดัง โดยทางภาครัฐจะดำเนินการเยียวช่วยเหลือต่อไป
     อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้เสียชีวิตจากเหตุโรงงานสารเคมีระเบิดในครั้งนี้ยังคงเพิ่มขึ้นสูงเรื่อยๆ ล่าสุดพบผู้เสียชีวิตแล้ว 62 ศพ โดยขณะนี้สามารถระบุอัตลักษณ์ยืนยันได้แค่เพียง 26 รายเท่านั้น รวมทั้งยังมีรายงานผู้สูญหายอีก 28 คน ส่วนผู้บาดเจ็บเพิ่มมากขึ้นอีกนับร้อย
แหล่งที่มา : https://www.sanook.com/news/7721450/ 

ข่าวที่ 7 ยีนนอนน้อย

ยีนนอนน้อย คำอธิบายของคนที่นอนไม่กี่ชั่วโมง แต่สดใสเหมือนนอนเต็มที่      เราเป็นคนหนึ่งที่ใส่ใจเรื่องการนอนมากๆ หากคืนไหนนอนน้อย เมื่อ...